
บุคคลแรกที่เสนอเรื่องคอนแทคเลนส์ คือบุคคลที่เป็นทั้งนักวาดภาพ ประติมากร สถาปนิกและวิศวกร
ที่ชื่อ ลีโอนาร์โด ดาวินชี หนังสือเรื่อง Code on the Eye ของเขาที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ ๑๖
พูดถึงการแก้ไขปัญหาสายตาสั้นโดยการใช้หลอดสั้น ๆ บรรจุน้ำ
และปิดปลายด้านหนึ่งด้วยเลนส์แผ่นเรียบ ปลายอีกด้านปล่อยไว้ให้แนบกับตา
น้ำจะสัมผัสกับนัยน์ตาและช่วยหักเหแสง ทำหน้าที่เหมือนเลนส์โค้งนั่นเอง
วิธีของดาวินชี เป็นหลักการที่ใช้กับคอนแทคเลนส์กันทุกวันนี้
นัยน์ตาของมนุษย์บอบบางมาก วัตถุที่จะมาสัมผัสได้จะต้องมีความเรียบอย่างยิ่ง
ดังนั้นในช่วงหลายศตวรรษที่ยังใช้กระจกเป็นเลนส์จึงยังมีปัญหาความระคายเคืองอยู่มาก
เพราะถึงแม้จะฝนกระจกให้เรียบที่สุดก็ยังมีความหยาบอยู่
ในทศวรรษที่ ๒๒๒๓-๒๒๓๓ ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยใส่วุ้นเคลือบตาไว้ก่อน
แล้วจึงใส่เลนส์ที่มีขนาดพอดีกับตา วิธีนี้ไม่ได้ผลเนื่องจากเลนส์จะหลุดออกจากตาอยู่เสมอ
คอนแทคเลนส์ที่ใช้การได้ดีพัฒนาขึ้นในปี ๒๔๒๐ โดยด็อกเตอร์ เอ อี ฟิค ชาวสวิส
เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง (hard lens) ซึ่งแน่นอนว่ามีความหนาและไม่สบายตา
กระจกที่ใช้ทำคอนแทคเลนส์มีทั้งชนิดที่เป่าขึ้นและแบบหลอมให้มีความโค้งตามต้องการ
และมีผิวเรียบแล้วจึงตัดให้มีขนาดพอดีกับตา
คอนแทคเลนส์สมัยนั้นไม่ได้ใส่ไว้แค่บริเวณตาดำ แต่จะคลุมทั้งลูกนัยน์ตา
เลนส์ของเขาช่วยให้เห็นภาพได้ชัดสมบูรณ์แบบ และผู้สวมใส่ต้องฝึกความอดทนแต่สถานเดียว
กระจกยังคงเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำคอนแทคเลนส์ชนิดแข็งอยู่จนถึงปี ๒๔๗๙
ในปีนั้นบริษัทไอ จี ฟาร์เบน ของเยอรมนีได้ผลิตเพลกซิกลาส
ซึ่งเป็นเลนส์พลาสติกแบบแข็งออกมา และได้กลายเป็นวัตถุดิบใหม่ที่ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้ผลิต
จนช่วงกลางทศวรรษที่๒๔๘๓-๒๔๙๓ ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุชาวอเมริกัน
ผลิตเลนส์ขนาดเล็กพอดีกับตาดำอย่างทุกวันนี้ จากนั้นจึงได้มีการออกแบบเลนส์แบบต่าง ๆ เรื่อยมา
การผลิตคอนแทคเลนส์ทุกวันนี้ยังยึดหลักการที่ว่า
คอนแทคเลนส์ที่ดีจะต้องอุ้มน้ำได้มาก โดยเฉพาะเลนส์ที่อุ้มน้ำได้ถึงร้อยละ ๘๐
ด้วยเชื่อว่าน้ำจะช่วยให้ไม่เคืองตาและเพิ่มออกซิเจนให้เยื่อตา
ทั้งที่ความจริงแล้วเลนส์ที่มีน้ำน้อยจะให้ภาพที่ชัดและถูกต้องกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น